วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประเทศลาว 

Laos2.png
Sathalanalat Pasathipatai Pasason Lao
สาทาละนะลัต ปะซาทิปะไต ปะซาซนลาว 
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 
ธงชาติลาว                  ตราแผ่นดินของลาว 
             ธงชาติ                            ตราแผ่นดิน

ชื่อทางการ  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ตัวย่อ : สปป.ลาว)

(The Lao people’s Democratic Republic)
มืองหลวง นครหลวงเวียงจันทน์               
ศาสนาประจำชาติ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอริกู
วันชาติ  2 ธันวาคม
ภาษาประจำชาติ ภาษาลาว
ภาษาราชการ ภาษาลาว
ดอกไม้ประจำชาติ ดอกจำปาลาว (Champa) หรือดอกลีลาวดี


ลักษณะทางภูมิศาสตร์
ลาวมีพื้นที่ประมาณ 236,800 ตารางกิโลเมตร์
ภูมิประเทศ”   ทิศเหนือ ติดกับจีน
ทิศตะวันตก ติดกับไทย
ทิศตะวันออก ติดกับเวียดนาม
ทิศใต้ ติดกับกัมพูชา

ภูมิอากาศ
แบบเขตร้อน คล้ายกับภาคเหนือกับภาคอีสานของไทย

ประชากร
มีจำนวนประชากรประมาณ 6 ล้านคน ประกอบด้วย 68 ชนเผ่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 3กลุ่มชนชาติ คือ ลาวลุ่ม ลาวเทิง และลาวสูง

การเมืองการปกครอง
มีระบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือทางการลาวใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยประชาชน โดยพรรคการเมืองเดียว คือ พรรคประชาชนปฏิวัติลาว มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล และมี ประธานประเทศ” (ประธานาธิบดี) เป็นประมุข

ประวัติ ของประเทศ
     • แต่เดิมลาวอยู่ใต้การปกครองอาณาจักรน่าน ต่อมาก็ตกอยู่ในการปกครองของสยามนานถึง 114 ปี จนเกิดวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 สยามต้องยกดินแดนลาวทั้งหมดให้เป็นของฝรั่งเศส
     • ในช่วงสงครามครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นรุกเข้ามาในลาว ขบวนการลาวอิสระจึงได้ประกาศเอกราช
     • เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามอลาวจึงตกอยู่ในอำนาจฝรั่งเศสอีกครั้ง
     • ฝรั่งเศสแพ้เวียดนามที่เดียนเบียนฟู ลาวจึงได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2496โดยมีเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ เป็นพระมหากัตริย์
     • ต่อมาเมื่อเจ้าสว่างวัฒนาขึ้นครองราชย์ต่อ เจ้าสุภานุวงศ์ หนึ่งในขบวนการลาวอิสระประกาศตนเป็นพวกนิยมคอมมิวนิสต์ และเป็นหัวหน้าขบวนการประเทศลาวออกเคลื่อนไหวทางการเมือง
     • พ.ศ. 2518 พรรคปฏิวัติประชาชนลาว ที่นำโดยเจ้าสุภานุวงศ์ ยึดอำนาจรัฐบาลของเจ้าสว่างวัฒนาได้สำเร็จ และประกาศสถาปนา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ ธันวาคม พ.ศ. 2518

อาหารประจำชาติ


ชุดประจำชาติ
หญิง นุ่งผ้าซิ่นทอลาย ใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก และมีสไบเฉียงพาดไหล่
ชาย นุ่งโจงกระเบน และสวมเสื้อชั้นนอก กระดุมเจ็ดเม็ด
ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี
วัฒนธรรมของลาวจะมีความคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมทางภาคอีสานของไทยมาก ในด้านดนตรี แคน ถือเป็นเครื่องดนตรีประจำชาติ โดยมีวงดนตรีคือ วงหมอลำ และมี รำวงบัดสลบ ซึ่งเป็นการเต้นที่มีท่าตามจังหวะเพลง โดยจะเต้นพร้อมกันไปอย่างเป็นระเบียบ ถือเป็นกรร่อมสนุกกันของชาวลาวในงานมงคลต่างๆ  การตักบาตรข้าวเหนียว  ถือเป็นจุดเด่นของเมืองหลวงพระบาง ซึ่งโดยปกติแล้วนิยมใส่บาตรด้วยข้าวเหนียวเพียงอย่างเดียว เพราะเมื่อถึงเวลาฉัน ชาวบ้านจะยกสำรับกับข้าวไปถวายที่วัด เรียกว่าถวายจังหัน” โดยเวลาใส่บาตรจะนั่งคุกเข่าและผู้หญิงต้องนุ่งซิ่น ส่วนผู้ชายนุ่งกางเกงขายาว และมีผ้าพาดไหล่ไว้สำหรับเป็นผ้ากราบพระเหมือนกัน

สกุลเงิน           กีบ (Kip) ตัวย่อ LAK
อัตราการแลกเปลี่ยน    263 กีบ = 1 บาท   8,158 กีบ = 1 ดอลลาร์สหรัฐ



สถานที่สำคัญ


       พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ 



ประตูชัย 


หอพระแก้ว


วัดสีเมือง 


วัดสีสะเกด

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สงครามเกาหลี


สงครามเกาหลี 


เหล่าผู้คนทั้งหลายบนโลกใบนี้คงจะรู้จักประเทศเกาหลีในแง่ของประเทศอุตสาหกรรมที่มี ความสวยงามทางด้านวัฒนธรรม แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าจริงๆแล้วเกาหลีเป็นประเทศที่เคยตกอยู่ในสภาวะ สงครามมาอย่างยาวนาน และมีอดีตที่เลวร้ายขมขื่นมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก เป็นดินแดนที่แทบจะไม่อาจจะแสวงหาสันติสุขอย่างแท้จริงมาเป็นเวลากว่า 100 ปีแล้ว

เดิมทีนั้นเกาหลีไม่ได้รวมเป็นแผ่นดินเดียวกันทั้งผืน แต่มีอยู่หลายชนเผ่าไม่ขึ้นแก่กัน จนกระทั่งราชวงศ์ฮั่นของจีนได้แผ่ขยายอำนาจมาในคาบสมุทรเกาหลีและได้ปกครอง เกาหลีประมาณ 400 ปี ต่อมาราชวงศ์ฮั่นล่มสลายลง แคว้นต่างในคาบสมุทรเกาหลีก็ทำสงครามแผ่ขยายอำนาจกัน จนกระทั่งเหลืออยู่ เพียงสี่อาณาจักรใหญ่ คือ โคกูรยอ ซิลลา แพกแจ และกายา ต่อมาแคว้นซิลลาได้ยกกองทัพเข้ายึดอีกสามแคว้นรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้ในที่สุด      ต่อมาอาณาจักรซิลลาก็ล้มเหลวทางด้านการปกครองจนถูกขุนนางคนหนึ่งยึด อำนาจและสถาปนาราชวงศ์โครยอ  ปกครองคาบสมุทรเกาหลี  หลังจากนั้น 200 ปี ราชวงศ์โครยอก็ถูกแม่ทัพคนหนึ่งเข้าล้มล้างและสถาปนาราชวงศ์โชซอนแทน   จนกระทั่งโลกได้เข้าสู่ยุคล่าอาณานิคมในศตวรรษที่ 18 ญี่ปุ่นในฐานะประเทศมหาอำนาจชาติเดียวในเอเชียในสมัยนั้นได้เข้ายึดครองคาบสมุทรเกาหลี   ล้มราชวงศ์โชซอนลง ทำลายปราสาทราชวัง บังคับให้เกาหลีส่งข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ไปให้ญี่ปุ่น จนกระทั่งเกาหลีตกอยู่ในภาวะอดอยาก ผู้ใดต่อต้านก็จะถูกฆ่า รวมทั้งในตอนที่ญี่ปุ่นทำสงครามกับรัสเซียนั้น ชาวเกาหลีจำนวนมากก็ถูกบังคับให้ไปช่วยรบ

ความเจ็บปวดของเกาหลี ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝ่าย อักษะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ญี่ปุ่นก็พยายามกลืนชาติเกาหลีด้วยการเผยแพร่วัฒนธรรมของตนในเกาหลี การกระทำทุกอย่างที่เป็นการแสดงออกแบบเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ชาวเกาหลีจำนวนมากถูกเกณฑ์ไปทำสงครามในจีน สตรีกว่า 200,000 คนถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่น

ลางร้ายแห่งเกาหลี
กันยายน ค.ศ. 1945 (ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2) โซเวียตเคลื่อนกำลังเข้าไปในเกาหลีเหนือเส้นขนาน 38 ขึ้นไป สหรัฐฯ เคลื่อนกำลังเข้าไปในเกาหลีใต้เส้นขนาดที่ 38 ลงไป แล้วทั้ง ฝ่ายจึงจัดตั้งการปกครองในเกาหลีตั้งแต่นั้นมา ภายหลังสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยที่จะแบ่งแยกเกาหลี สหรัฐฯ จึงเสนอให้มีการรวมเกาหลีทั้ง เขตเข้าด้วยกัน ทางโซเวียตเห็นด้วยกับการที่รวมเกาหลีทั้ง เขต เข้าด้วยกัน แต่รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นปกครองเกาหลี ต้องจัดตั้งตามเงื่อนไขของโซเวียตเท่านั้น ในเวลาต่อมา สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีมติให้มีการเลือกตั้งในเกาหลี แต่โซเวียตปฏิเสธที่จะให้มีการเลือกตั้งขึ้น ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1948 ดังนั้นการเลือกตั้งในเกาหลีจึงเกิดขึ้นแต่ในบริเวณที่ปกครองด้วยกองกำลังสหรัฐฯ ต่อมา 15 สิงหาคม ค.ศ. 1948 ได้มีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐเกาหลีขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยสมัชชาแห่งชาติเกาหลี และได้มีประธานาธิบดีคนแรกของเกาหลีใต้ขึ้น ชื่อว่า นายซิงมัน รี

 ต่อมาในวันที่ กันยายน ค.ศ. 1948 โซเวียตจึงได้ประกาศจัดตั้งเขตยึดครองของตน เป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี มีนายคิมอิล ซุง เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล

ขณะนี้ เกาหลีได้ถูกแบ่งออกเป็น ประเทศ อย่างเป็นทางการแล้ว และหลังจากนี้อีกเพียง ปี สงครามที่ชาวเกาหลีต้องเข่นฆ่ากันเอง จึงได้เริ่มต้นขึ้น


         สงครามเกาหลี เป็นสงครามตัวแทนของอเมริกากับโซเวียตในสมัยสงครามเย็น (อเมริกากับโซเวียตจะไม่ทำสงครามกันโดยตรง แต่จะใช้พวกลูกมือมาสู้กัน สงครามตัวแทนมีอยู่ ครั้ง คือ สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามอัฟกานิสถาน และวิกฤตการณ์นิวเคลียร์ในคิวบา) เป็นสงครามที่คนเกาหลีต้องมาทำสงครามกันเองโดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนก่อสงครามขึ้นแต่อย่างใด ซ้ำยังถูกประเทศต่างๆมาหาผลประโยชน์อีกต่างหาก   สงครามเกาหลีเป็นสงครามที่โหดร้ายและนองเลือดที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่โลกนี้เคยประสบ เกาหลีในสมัยนั้นยังไม่ได้เป็นเมืองใหญ่เหมือนดังเช่นทุกวันนี้ หากแต่เป็นป่าเขาทุรกันดาร พื้นโคลนตมแฉะๆ รวมไปถึงสภาพอากาศในฤดูหนาวอันเลวร้าย และอาวุธที่นำมาใช้ประหัตประหารกันนั้นมีความพลิกแพลงหลากหลายมากเพราะอยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างสมัยสงครามโลกและสมัยปัจจุบัน ราวกับว่าอาวุธของทุกยุคสมัยจะมารวมกันในการต่อสู้ครั้งนี้ กลยุทธ์ที่นำมาใช้นั้นก็เป็นการผสมผสานกันระหว่างสงครามโลกครั้งที่ และ 2  คือมีการใช้ทั้งคลื่นทหารราบ การรบแบบสนามเพลาะ การชุมนุมรถถัง การทิ้งระเบิด การใช้จิตวิทยา รวมไปถึงการรบแบบกองโจร และยังมีการใช้เครื่องบินไอพ่นเป็นครั้งแรกของโลกอีก ด้วย แทบไม่น่าเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในยุคที่โลกพึ่งผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดอย่างสงครามโลกครั้งที่ มาหมาดๆ
     สงคราม เกาหลีเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 25 มิ.ย. 1950 เมื่อเกาหลีเหนือนำกองทัพบุกเกาหลีใต้หมายจะรวมประเทศให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง จนกระทั่งมีการเจรจาหยุดยิงกันชั่วคราวในวันที่ 27 ก.ค. 1953 ในปัจจุบันนี้
(ปี 2012)ก็ยังไม่ถือว่าสงครามจบ แต่เลิกยิงกันไปชั่วคราวเพราะมีสัญญาหยุดยิงกำกับไว้ อยู่ ซึ่งถ้าสัญญานี้หมดอายุเมื่อไรก็กลับมารบกันต่อเมื่อนั้น

เริ่มสงคราม
- 18 มิ.ย. 1950 รัฐบาลเกาหลีเหนือภายใต้การนำของนายคิม อิล ซุง ได้สั่งระดมทหารจากภาคเหนือราว 260000 นาย และประกาศที่จะรวมประเทศเข้าเป็นหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งเกาหลีเหนือได้รับการช่วยเหลือทางทหารจากโซเวีตและจีน เป็นจำนวน 42000 นาย
พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์สนับสนุน
     เพียงเวลาไม่กี่วันหลังจากที่เกาหลีเหนือได้ส่งกองทัพข้ามเส้นขนานที่ 38 ลงมา กองทัพของเกาหลีเหนือก็สามารถบุกยึดกรุงโซลได้

รุกหนักเหนือเส้นขนานที่ 38

หลังจากที่กองกำลังสหประชาชาติ สามารถช่วยขับไล่กองทัพของเกาหลีเหนือ ออกจากเกาหลีใต้ได้แล้ว จุดประสงค์ของการทำสงครามก็เปลี่ยนไป จากที่ต้องการเพียงขับไล่กองทัพของเกาหลีเหนือ ออกจากบริเวณใต้เส้นขนานที่ 38 ลงมา หรือก็คือประเทศเกาหลีใต้ ไปเป็นการรวมเกาหลี ทั้งเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ ให้เป็นเพียงหนึ่งประเทศ ภายใต้การปกครองของรัฐบาลซิงมันรี ของเกาหลีใต้ ต่อมา

สหรัฐฯ ได้เข้าร่วมสงครามเกาหลีในครั้งนี้ด้วยนำโดย ประธานาธิบดี ทรูแมน ซึ่งประธานาธิบดี ทรูแมน ด้ประกาศว่า เราไม่ได้ทำสงคราม แต่การกระทำของเราเป็นการกระทำของตำรวจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อต่อต้านการรุกราน"

และได้แต่งตั้ง  นายพลแมคอาเธอร์ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพสหประชาชาติ

ในเดือนกรกฎาคม กองทัพเกาหลีใต้ถูกกองทัพเกาหลีเหนือบุกจนต้องถอยร่นลงสู่ทางใต้ของประเทศ


เกาหลีใต้เข้าขั้นวิกฤต
- 30 มิ.ย. 1950 กองทัพคอมมิวนิตส์เข้าตีกรุงโซลแตก บุคคลสำคัญของเกาหลีใต้ต้องไปตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นที่เมืองปูซาน
-3 ก.ค. 1950 สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรประกาศให้ความช่วยเหลือแก่เกาหลีใต้ และส่งทหารมาช่วยเกาหลีใต้รบ แต่ก็ไม่ประสบผลเท่าใดนัก เพราะการวางแผนการรบที่ดีของฝ่ายคอมมิวนิตส์ (เช่นการ เข้าตีตอนกลางคืน การปล้นสดมถ์ เผากองเสบียง) กองทัพพันธมิตรต้องเพลี่ยงพล้ำอย่างหนักที่เมืองจูโน่
-11 ก.ค. 1950 กองทัพคอมมิวนิตส์ได้ชัยชนะอย่างต่อเนื่องจนขยายแนวรบไปถึงทะเลญี่ปุ่น บัดนี้เกาหลีใต้กำลังจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นายโจเซฟ สตาลิน ผู้นำโซเวียต ถึงกับออกมาประกาศ กร้าวว่า
ถ้ายึดเกาหลีใต้ได้เมื่อไรจะยกพลข้ามช่องแคบไปแก้แค้นญี่ปุ่นอย่างสาสม !
สงครามดูเหมือนจะขยายตัวออกไปยังจีน และอาจกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ จบไปเพียงไม่กี่ปี
จุดเปลี่ยนของสงคราม
- 20 ก.ค. 1950 รัฐบาลสหรัฐเกรงว่าถ้าฝ่ายคอมมิวนิตส์บุกญี่ปุ่นได้เมื่อไร สงครามนี้ก็จะบานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย จึงออกคำสั่งให้ จอมพลดักลาส แมกอาเธอร์ ผู้บัญชาการที่เก่งที่สุดในสมัยสงครามโลกครั้งที่ และเป็นผู้ที่พิชิตญี่ปุ่นได้ ไปบัญชาการรบช่วยเหลือเกาหลีใต้เป็นการด่วน
-23 ก.ค. 1950 ฝ่ายพันธมิตรสามารถยันกองทัพคอมมิวนิตส์ไว้ได้ที่เมืองเดกู ในสงครามครั้งนี้เป็นการสร้างชื่อให้กับกองทัพไทยอีก ด้วย(ในการรบครั้งนั้น ทหารไทยฆ่าทหารคอมมิวนิตส์ไป 500 นายโดยเสียทหารไทยไปเพียง 25 นายเท่านั้น)
-25 ก.ค. 1950 ฝ่ายพันธมิตรได้รับกำลังเสริมจากสหประชาชาติ และสามารถยันทหารฝ่ายคอมมิวนิตส์ให้ถอยกลับไปที่จูโน ่ได้
- 31 ก.ค.1950 ฝ่ายพันธมิตรที่กำลังฮึกเหิมได้เข้ายึดเมืองจูโน่คืน มาได้
-9 ส.ค. 1950 ฝ่ายพันธมิตรเข้ายึดกรุงโซลคืนมาได้
- 15 ส.ค. 1950 ฝ่ายพันธมิตรสามารถขับไล่ฝ่ายคอมมิวนิตส์ให้พ้นกลับขึ้นไปเหนือเส้นละติจูด ที่ 38 ได้เป็นผลสำเร็จ

ฝ่ายพันธมิตรโจมตีกลับ
- 20 ก.ย. 1950 ฝ่ายพันธมิตรบุกข้ามเส้นละติจูดที่ 38 เข้าสู่เกาหลีเหนือ
- 26 ก.ย. 1950 การต่อสู้ด้วยเครื่องบินเจ็ทครั้งแรกของโลกได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อฝ่ายพันธมิตรส่งเครื่องเซเบอร์ เครื่องบินเจ็ทรุ่นแรกสุดของตนเข้าโจมตีพรมแดนระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงพลของทหารจีนที่จะเข้าสู่เกาหลีเหนือ ในตอนนั้นกองทัพคอมมิวนิตส์ไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อกรกับเครื่องบินเจ็ท เลย จึงเสียหายอย่างหนัก
-28 ก.ย. 1950 โซเวียตส่งฝูงบินมิก เครื่องบินเจ็ทรุ่นแรกสุดของตน เข้าจัดการกับฝูงบินเซเบอร์ของฝ่ายพันธมิตร 
-10 พ.ย. 1950 ฝ่ายคอมมิวนิตส์ถูกฝ่ายพันธมิตรไล่บดขยี้อย่างหนักจน ถอยร่นขึ้นเหนือถึงชายแดนจีน นายพลแมกอาเทอร์เสนอให้สหรัฐใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มจีน แต่ข้อเสนอของเขาถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากรัฐบาลสหรัฐ จนเขาถูกเรียกตัวกลับอเมริกาในที่สุด

เหตุการณ์ที่ผลิกผันอีกครั้ง

- 1 ธ.ค. 1950 จีนส่งทหารกว่า 500000 นาย เข้าสู่เกาหลีเหนือที่กำลังจะพ่ายแพ้ และนี่ก็คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
- 27 ธ.ค. 1950 ฝ่ายคอมมิวนิตส์ยึดเปียงยางคืนมาได้

ฝ่ายคอมมิวนิตส์บุกเกาหลีใต้ อีกครั้ง
- 12 ม.ค. 1951 ฝ่ายคอมมิวนิตส์บุกเกาหลีใต้อีกครั้ง และเข้าประชิดกรุงโซลอย่างรวดเร็ว
- 4 มิ.ย.1951 ถึง 23 มี.ค. 1953 ฝ่ายคอมมิวนิตส์พยายามรุกคืบไปให้ถึงปูซาน แต่ฝ่ายพันธมิตรเข้าต่อต้านอย่างสุดสามารถ การรบติดพันกันที่ภาคกลางของเกาหลีใต้กว่า ปี จนกระทั่งสหประชาชาติส่งกองหนุนเข้าไปในเกาหลีใต้อีกครั้ง

สงครามสิ้นสุด
ประธานาธิบดี ทรูแมน ได้เตือน นายพลแมคอาเธอร์ ให้หลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะส่งผลให้จีนเข้าร่วมสงครามกับเกาหลีเหนือ ต่อมานายพลแมคอาเธอร์ ได้สั่งพลร่มลงที่บริเวณหลังแนวข้าศึกเพื่อตัดขาด และไม่ให้ทหารเกาหลีเหนือถอยหนีได้ หลังจากนั้นกองกำลังสหประชาชาติก็สามารถเข้ายึดเมืองเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือไว้ได้ และนายพลแมคอาเธอร์ ได้ประกาศว่า การทำ สงครามเกาหลี สิ้นสุดแล้ว
แต่เหตุการไม่คาดฝันก้เกิดขึ้นกับฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อ ต้นเดือนพฤศจิกายนปรากฏว่ามีทหารจีนคอมมิวนิสต์ อยู่ในเกาหลี นั่นย่อมหมายถึงว่า จีนเข้าร่วมสงครามเกาหลีแล้วหลังจากที่จีนเข้าร่วมสงครามเกาหลีแล้ว สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป กองกำลังสหประชาชาติได้ทำสงครามกับกองทหารของจีน และได้ถูกรุกอย่างหนัก จนปลายเดือนพฤศจิกายน กองกำลังสหประชาชาติต้องถอยร่นมาทางใต้
ธันวาคม ค.ศ. 1950 เปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ ถูกยึดครองโดยเกาหลีเหนือตามเดิม และกองกำลังสหประชาชาติต้องถอยมาตั้งหลักบริเวณเส้นขนานที่ 38 ตามเดิม
14 มีนาคม ค.ศ. 1951 กองกำลังสหประชาชาติสามารถยึดกรุงโซลกลับคืนมาได้
10 กรกฎาคม ค.ศ. 1951 ได้เกิดการเจรจาสงบศึกขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองเคซอง และการเจรจาสงบศึกยังได้ดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลาถึง ปี จนการเจรจาสงบศึกสำเร็จในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953
27 กรกฎาคม ค.ศ. 1953 สงครามเกาหลี ยุติอย่างเป็นทางการ ถึงแม้สงครามเกาหลีจะยุติอย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่การแบ่งแยกเกาหลี ยังคงดำเนินต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง

สรุปความเสียหาย
ฝ่ายคอมมิวนิตส์
ทหารเกาหลีเหนือเสียชีวิต 215,000 นาย บาดเจ็บ 303,000 นาย สูญหาย 120,000 นาย
ทหาร จีนเสียชีวิต 148,000 นาย บาดเจ็บ 380,000 นาย สาบสูญ 21,400 นาย
ทหารรัสเซียเสียชีวิต 282 นาย

ฝ่ายพันธมิตร
ทหารเกาหลีใต้เสียชีวิต 137,899 นาย บาดเจ็บ 450,742  สาบสูญ 32,838
ทหารอเมริกันเสียชีวิต 36,516 นาย บาดเจ็บ 92,134 สาบสูญ 8,176
ทหารชาติอื่นๆเสียชีวิตรวม 200,000 นาย

ยอดรวมพลเมืองที่เสียชีวิต/บาดเจ็บ: 2.5 ล้าน (ประมาณการ)

ความพยายามที่จะรวมประเทศกันอีกครั้ง

เกาหลีใต้มีความพยายามที่จะรวมประเทศอย่างสันติตั้งแต่ พ.ศ. 2513 โดยเปิดการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการเจรจาระหว่างสภากาชาดฝ่ายใต้และเหนือ เพื่อให้ครอบครัวที่พลัดพรากระหว่างสงครามได้พบหน้ากัน มีการออกแถลงการณ์ระหว่างสองประเทศเมื่อ กรกฎาคม พ.ศ. 2515 เพื่อยุติการกล่าวร้ายระหว่างกัน แต่การเจรจาเพื่อรวมประเทศไม่ราบรื่น ที่ประสบผลมีเพียงการอนุญาตให้ชาวเกาหลีทั้งสองประเทศข้ามเขตปลอดทหารไปมาหา สู่กันได้ในช่วง 20-23 กันยายน พ.ศ. 2528 และการเจรจาเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิก พ.ศ. 2531 ที่กรุงโซล เท่านั้น การเจรจาเรื่องอื่นๆหยุดชะงักลงหลังพ.ศ. 2529 เนื่องจากเกาหลีเหนือไม่พอใจเกี่ยวกับการซ้อมรบระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการขัดแย้งกับการรวมชาติ เกาหลีใต้พยายามประนีประนอมกับเกาหลีเหนือเพื่อการเจรจาจนมีการประชุมระดับ ผู้นำครั้งแรกเมื่อ กันยายน พ.ศ. 2533 จากนั้นมีการประชุมต่อมาอีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตามการรวมชาติเกาหลียังเป็นสิ่งที่ต้องรอคอยต่อไปจนกระทั่ง ปัจจุบัน
สงครามเกาหลี

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คนหนึ่งคน....ทำอะไรได้




    ในความ “รำคาญ” ของแต่ละคน… ยังมีคำว่า “โอกาส” ของอีกคนเสมอ

"ถ้าอยากให้ประเทศไทยดีขึ้นก็ต้องถามว่า ประเทศไทยไม่ดีตรงไหน แล้วเราต้องแก้ยังไง ไม่ใช่การลืม ถ้าปมยังอยู่ หนองในขายังอยู่ คุณเอาพลาสเตอร์ไปปิดไม่ได้ คุณต้องกรีดแผลออกมา ล้างแผลก่อน ขั้นตอนนั้นมันเจ็บนะ แต่นั่นคือปัญหาของเราไม่ใช่เหรอ ในฐานะของคนทำ ผมก็กำลังด่าตัวเองด้วยเหมือนกัน ผมก็ผิด เราอย่ากลัวความผิด ยอมรับว่าผิดแล้วก็แก้"-ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับหนังโฆษณาเรื่องขอโทษ
ประเทศไทย (จาก a day 120)

 คนหนึ่งคน เริ่มฟังด้วยสติได้ by คุณสกล

10 บทเรียนสำคัญ !! ที่คนอายุ 70 ปีอยากฝากให้ลูกหลาน




       จากการสัมภาษณ์ชาวอเมริกันที่อายุเกิน 70 ปีขึ้นไป จำนวน 1,200 คน โดยมีคำถามว่า “จากประสบการณ์ชั่วชีวิตคุณ อะไรคือบทเรียนสำคัญที่สุดที่อยากจะฝากไว้ให้ลูกหลาน” ผลการสัมภาษณ์ได้ถูกนำมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ 30 Lessons for Living โดยมีบทเรียนสำคัญ 10 ข้อ ที่สามารถเตือนสติ เพื่อให้ชาวออฟฟิศอย่างเรา สามารถใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

1. ให้เลือกอาชีพโดยดูจากความต้องการภายในมากกว่าผลตอบแทนด้านการเงิน โดยบรรดาผู้สูงวัยกล่าวว่าความผิดพลาดสำคัญในการเลือกอาชีพของเขา คือ การเลือกอาชีพโดยดูจากผลตอบแทนมากกว่าสิ่งที่ชอบและคุณค่าของอาชีพ

2. ให้ปฏิบัติต่อร่างกายเหมือนกับต้องใช้งานไปอีกร้อยปี โดยให้ลดและเลิกพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายเราไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ กินอาหารที่ไม่ดี หรือไม่ออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เราเสียชีวิตในฉับพลัน แต่ทำให้เราเกิดความทรมานเมื่อสูงวัย

3. ตอบตกลงต่อโอกาสที่เข้ามา โดยเมื่อมีโอกาสหรือความท้าทายเข้ามา ต้องอย่าปฏิเสธครับ เพราะส่วนใหญ่มักจะมาเสียใจหรือเสียดายในภายหลัง

4. เลือกคู่ด้วยความระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ ใช้เวลาในการดูและทำความรู้จักคนที่เราจะอยู่ด้วย อย่ารีบด่วนตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะรู้จักอีกฝ่ายหนึ่งอย่างถ่องแท้

5. เที่ยวให้มากไว้ เมื่อมีโอกาสให้เดินทาง คนสูงวัยส่วนใหญ่จะมองย้อนกลับมายังโอกาสต่างๆ ที่ได้ท่องเที่ยวเดินทาง และมองว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และมีคุณค่าของชีวิตเลยทีเดียว

6. ให้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเดี๋ยวนี้ เนื่องจากเรามักจะเสียใจและเสียดาย ว่าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูดกับหลายๆ คน เมื่อไม่มีโอกาส เราจะมีโอกาสแสดงความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้อื่นได้ ก็ต่อเมื่ออีกคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

7. เวลาเป็นของมีค่า ชีวิตของเรานั้นแสนสั้นแต่ไม่ใช่ให้มานั่งเศร้า แต่ให้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีค่าเดี๋ยวนี้ เนื่องจากยิ่งเราอายุมากขึ้น เราจะพบว่าเวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วขึ้น

8. ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกเอง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเงื่อนไขต่างๆ คำแนะนำหนึ่ง ก็คือ จงรับผิดชอบต่อความสุขของตัวเราเองตลอดชีวิตเรา

9. การใช้เวลามานั่งกังวลต่อสิ่งต่างๆ นั้นเป็นการเสียเวลา ดังนั้น ให้หยุดกังวล หรือไม่ก็พยายามลดความกังวลลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกังวลในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น

10. คิดเล็ก-อย่าคิดใหญ่ ค่อยๆ ซึมซับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่เป็นสิ่งที่ดีในชีวิตเรา และมีความสุขกับสิ่งเหล่านั้น